Q: Wavelength คืออะไร
Wavelength รวมแบนด์วิดธ์สูงและเวลาหน่วงมิลลิวินาทีหลักเดียวของเครือข่าย 5G เข้ากับบริการประมวลผลและเก็บข้อมูลของ AWS เพื่อให้นักพัฒนาสามารถคิดค้นและสร้างแอปพลิเคชันแห่งยุคใหม่ได้ ในตอนแรก Wavelength จะพร้อมให้บริการในความร่วมมือกับ Verizon โดยเริ่มต้นในปี 2020 AWS ยังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายรายอื่นเช่น Vodafone, SK Telecom และ KDDI เพื่อขยาย Wavelength Zones ไปยังสถานที่อื่นๆ ภายในสิ้นปี 2020
Q: Wavelength Zone คืออะไร
Wavelength Zones เป็นการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน AWS ที่ฝังการประมวลผลและบริการเก็บข้อมูล AWS ไว้ในศูนย์ข้อมูลของผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่ Edge ของเครือข่าย 5G ดังนั้นการรับส่งข้อมูลแอปพลิเคชันสามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์แอปพลิเคชันที่ทำงานใน Wavelength Zones ได้โดยไม่ต้องออกจากเครือข่ายของผู้ให้บริการมือถือ สิ่งนี้จะป้องกันเวลาแฝงที่อาจเกิดขึ้นจากการกระโดดหลายครั้งไปยังอินเทอร์เน็ตและช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 5G ได้อย่างเต็มที่ Wavelength Zones ขยาย AWS ไปที่ Edge ของ 5G นำเสนอประสบการณ์ของนักพัฒนาที่สอดคล้องกันในเครือข่าย 5G หลายแห่งทั่วโลกและช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันเวลาแฝงต่ำแห่งยุคสมัยใหม่โดยใช้บริการของ AWS, API, เครื่องมือ และฟังก์ชั่นต่างๆ ที่คุณคุ้นเคยที่ใช้อยู่แล้วในทุกๆ วันนี้
Q: ใครควรใช้ Wavelength
คุณควรใช้ Wavelength เมื่อคุณต้องการปรับใช้แอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถเข้าถึงได้โดยผู้ใช้ปลายทางและอุปกรณ์ที่ต้องการเวลาแฝงหลักมิลลิวินาที ลูกค้า AWS ที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันสาธารณะ เช่น บริการสตรีมเกมและบริการ AR/VR สามารถใช้ Wavelength ในการเข้าถึงผู้ใช้ปลายทางด้วยการเชื่อมต่อระดับมิลลิวินาที ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชันให้มีความเหมาะสมที่สุด ลูกค้าองค์กร AWS ที่สร้างแอปพลิเคชันเพื่อรองรับกรณีการใช้งานของตนเอง เช่น IoT การผลิตสื่อแบบสด และระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม สามารถใช้ Wavelength เพื่อส่งมอบโซลูชันที่มีเวลาแฝงต่ำได้ ลูกค้าที่มีความต้องการด้านการประมวลผลข้อมูล Edge เช่น การรู้จำภาพและวิดีโอ การอนุมาน การรวมข้อมูล และการวิเคราะห์เชิงตอบสนองสามารถใช้ Wavelength ในการดำเนินการที่มีเวลาแฝงต่ำและการประมวลผลจากสถานที่ที่ข้อมูลถูกสร้างขึ้น ลดความจำเป็นในการย้ายข้อมูลจำนวนมากเพื่อดำเนินการจากส่วนกลาง
Q: ทำไมฉันจึงควรใช้ Wavelength
Wavelength ช่วยให้คุณเปลี่ยนจากอุปกรณ์บนเครือข่าย 5G ไปยังทรัพยากรของแอปพลิเคชันของคุณบน AWS Cloud ด้วยการกระโดดบนเครือข่ายที่น้อยที่สุดเนื่องจากการประมวลผลและการจัดเก็บถูกโฮสต์โดยตรงภายในเครือข่าย 5G ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม สิ่งนี้จะช่วยลดเวลาแฝงที่เกิดจากความแออัดของเครือข่ายหรือเส้นทางที่ยาวกว่าซึ่งจำเป็นในการเข้าถึงทรัพยากรแอปพลิเคชันภายนอกเครือข่าย 5G ทำให้เกิดแอปพลิเคชันแห่งยุคใหม่ที่มีการประมวลผลอย่างละเอียดและไวต่อเวลาแฝง (เช่น กลุ่มยานพาหนะอัตโนมัติที่โต้ตอบกับเซ็นเซอร์ถนนเพื่อป้องกันการชน หรือหุ่นยนต์อุตสาหกรรมอัจฉริยะที่ประเมินและตอบสนองต่อสภาพโรงงานในสภาพแวดล้อมการผลิตที่อันตราย หรือร้านค้าปลีกที่ให้บริการโปรโมชั่นส่วนบุคคลไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้ซื้อในแบบเรียลไทม์เมื่อผ่านการแสดงสินค้า) Wavelength นำประสิทธิภาพของ AWS Cloud ไปไว้ที่ Edge ของเครือข่ายเพื่อทำให้เกิดกรณีการใช้งานที่ไวต่อเวลาแฝงที่ต้องการการตอบสนองแบบใกล้เคียงกับเวลาจริง และการประมวลผลที่ Edge ของเครือข่ายสามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลปริมาณมากผ่านโครงสร้างพื้นฐานของผู้ให้บริการเครือข่าย และเพื่อลดการประมวลผลจากฮาร์ดแวร์บนอุปกรณ์มือถือลง
Q: ฉันควรคำนึงถึงสิ่งใดเมื่อใช้ AWS Wavelength, AWS Local Zones หรือ AWS Outposts สำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการเวลาแฝงต่ำหรือการประมวลผลข้อมูลภายใน
AWS กำลังช่วยเหลือลูกค้าด้วยการมอบประสบการณ์ที่สอดคล้องกันเพื่อสนับสนุนแอปพลิเคชันด้วยเวลาแฝงต่ำหรือต้องการด้านการประมวลผลข้อมูลภายในไม่ว่าจะต้องนำไปปรับใช้ที่ใดก็ตาม
AWS Wavelength ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งมอบแอปพลิเคชันเวลาแฝงต่ำให้กับอุปกรณ์ 5G โดยขยายโครงสร้างพื้นฐาน AWS บริการ API และเครื่องมือต่างๆ ไปยังเครือข่าย 5G Wavelength ฝังที่เก็บข้อมูลและการประมวลผลภายในเครือข่าย 5G ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันใหม่สำหรับผู้ใช้ 5G ที่ต้องการเวลาแฝงหลักมิลลิวินาที เช่น อุปกรณ์ IoT การสตรีมเกม ยานพาหนะระบบอัตโนมัติ และการผลิตสื่อแบบสด
AWS Local Zones เป็นโครงสร้างพื้นฐาน AWS รูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานเวิร์กโหลดที่ต้องการเวลาแฝงเป็นหลักมิลลิวินาทีในสถานที่อื่นๆ เช่นเดียวกับการแสดงผลวิดีโอและกราฟิก แอปพลิเคชันเดสก์ทอปเสมือน ลูกค้าบางคนที่ต้องการใช้งานศูนย์ข้อมูลในสถานที่ของตัวเอง ในขณะที่ลูกค้ารายอื่นอาจสนใจที่จะเลิกใช้ศูนย์ข้อมูลภายในสถานที่ Local Zones ช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากการประมวลผลและจัดเก็บทรัพยากรไว้ใกล้กับผู้ใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของและดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลของตนเอง
AWS Outposts ได้รับการออกแบบมาสำหรับปริมาณงานที่ต้องอยู่ในสถานที่เนื่องจากความต้องการด้านเวลาแฝง ซึ่งลูกค้าต้องการให้ปริมาณงานนั้นทำงานได้อย่างราบรื่นกับปริมาณงานที่เหลืออื่นๆ ใน AWS AWS Outposts มีการจัดการเต็มรูปแบบและมีการประมวลผลที่กำหนดค่าได้และการจัดเก็บที่สร้างขึ้นด้วยฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบโดย AWS ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถรใช้การประมวลผลและการจัดเก็บในสถานที่ พร้อมกับเชื่อมต่อกับบริการหลากหลายของ AWS ในคลาวด์ได้อย่างราบรื่น