SQL และ MySQL แตกต่างกันอย่างไร
SQL เป็นภาษาเขียนโปรแกรมที่คุณสามารถใช้เพื่อจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ MySQL เป็นฐานข้อมูลโอเพนซอร์สแบบเชิงสัมพันธ์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุด ซึ่งเป็นฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์หลักสำหรับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ยอดนิยมมากมาย เทคโนโลยีทั้งสองจะทำงานร่วมกันเพื่อให้คุณสามารถจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในตารางที่มีโครงสร้างเป็นแถวและคอลัมน์ได้ MySQL เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่จัดเก็บข้อมูล ในขณะที่ SQL เป็นภาษาที่คุณใช้ในการอ่าน แก้ไข และลบข้อมูลนั้น ระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์มากมายก็ใช้ SQL รวมถึง Microsoft SQL Server ซึ่งเป็นที่นิยมมากเช่นกัน คำว่า SQL และ SQL Server มักจะใช้แทนกัน แต่พวกเขาอ้างถึงสองเทคโนโลยีที่ต่างกันมาก
SQL และ MySQL มีความคล้ายคลึงกันอย่างไร
MySQL และ SQL มีความคล้ายคลึงกันเฉพาะในชื่อ และทั้งคู่จะถูกใช้เป็นระบบฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์จะจัดเก็บข้อมูลเป็นแถวและชุดในตาราง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้ง SQL และ MySQL มีมานานหลายทศวรรษแล้ว โดยในช่วงปี 1970 นั้น เอ็ดการ์ แฟรงก์ ค็อด ได้ตีพิมพ์บทความชื่อ “แบบจำลองที่ใช้ในการจัดการคลังข้อมูลขนาดใหญ่” โดยจากบทความนี้ ทั้ง เรย์มอนด์ บอยซ์ และ โดนัลด์ แชมเบอร์ลิน จึงได้สร้าง SQL ขึ้นมา ในปี 1995 นั้น มอนตี้ วิเดเนียส ได้ร่วมสร้าง MySQL โดยตั้งชื่อตามลูกสาวที่ชื่อว่า My
SQL และ MySQL ยังถูกใช้บ่อยๆ ในการจัดการข้อมูลและมีการใช้ภายในระบบจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ในปัจจุบัน
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง SQL กับ MySQL
แม้ว่า MySQL และ SQL จะถูกใช้ในระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ แต่ก็ทำหน้าที่ต่างกัน
นิยาม
SQL เป็นภาษาเขียนโปรแกรมที่คุณสามารถใช้เพื่อในการสืบค้นและประมวลผลข้อมูลในฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ได้ คุณสามารถใช้ SQL เพื่อเพิ่ม อัปเดต หรือดึงข้อมูลภายในฐานข้อมูลได้ โดยในปี 1986 ทางสถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดอย่างเป็นทางการให้ SQL เป็นมาตรฐานสำหรับฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ ตามมาด้วยองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐานในปี 1987
ในทางตรงกันข้าม MySQL เป็นระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ ซึ่งในฐานะฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ คุณสามารถใช้ MySQL เพื่อจัดเก็บและจัดการข้อมูลโดยใช้ตารางได้ คุณสามารถสร้างตารางและกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตารางได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เทคนิคหลายอย่างได้ เช่น ดัชนี ธุรกรรม และการทำให้เป็นมาตรฐาน เพื่อจัดเก็บและดึงข้อมูลไปพร้อมๆ กับการรักษาความสอดคล้องและความถูกต้องของข้อมูล
ทั้งสองอย่างนี้ทำงานยังไง
การใช้ SQL จะเกี่ยวข้องกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ประมวลการสืบค้นฐานข้อมูลและส่งผลกลับ การสืบค้น SQL จะดำเนินการผ่านส่วนประกอบซอฟต์แวร์หลายส่วน ซึ่งรวมถึงรายการต่อไปนี้
- ตัวแยกวิเคราะห์จะแปลงคำสั่งการสืบค้น SQL เป็นโทเค็นและตรวจสอบเพื่อความถูกต้อง
- เครื่องมือเชิงสัมพันธ์จะวางแผนวิธีที่ดีที่สุดในการเรียกใช้การสืบค้น
- กลไกฐานข้อมูลจะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลจริง
กลไกฐานข้อมูลเริ่มต้นใน SQL คือ Microsoft SQL Server ซึ่ง Microsoft ดูแลและเป็นเจ้าของ
ในทางตรงกันข้าม MySQL มีส่วนประกอบของซอฟต์แวร์อีกมากมายสำหรับการจัดการข้อมูลและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ ส่วนประกอบ MySQL รวมถึงตัวแยกวิเคราะห์ SQL และเครื่องมือเชิงสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม กลไกฐานข้อมูลใน MySQL คือ InnoDB ซึ่ง Oracle ดูแลและเป็นเจ้าของ
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง SQL Server กับ MySQL
แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นเครื่องมือจัดการฐานข้อมูล แต่ก็มีความแตกต่างหลายประการระหว่าง Microsoft SQL Server และ MySQL
รองรับแพลตฟอร์ม
MySQL และ SQL Server รองรับแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน
SQL Server รองรับหลายแพลตฟอร์ม แต่ก็ไม่เท่ากับ MySQL SQL Server รองรับ Windows เป็นหลัก โดยมีตัวเลือกการปรับใช้ระบบคลาวด์สำหรับ Linux และ macOS ผ่าน Docker
MySQL รองรับแพลตฟอร์มมากกว่า SQL Server คุณสามารถติดตั้ง MySQL บนระบบปฏิบัติการส่วนใหญ่ รวมถึง Linux, macOS, Windows, Oracle Solaris, OpenBSD และ HP-UX ได้
รองรับภาษาเขียนโปรแกรม
ภาษาเขียนโปรแกรมบางส่วนที่ SQL Server รองรับ ได้แก่ C++, Java, Python, PHP, Go, Ruby และ Delphi
MySQL รองรับภาษาเช่นเดียวกับ SQL Server รวมถึงภาษาอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ Perl, Haskel และ TCL โดยหนึ่งในความน่าสนใจของ MySQL คือสามารถรองรับภาษาเขียนโปรแกรมได้มากมาย จึงทำให้กลายเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นสำหรับนักพัฒนาที่จะเลือกใช้
คุณสมบัติ
เนื่องจากทั้งคู่เป็นระบบจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ ทั้ง MySQL และ SQL Server จึงมีคุณสมบัติที่เหมือนกันหลายประการ ทั้งคู่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถจัดการโครงการที่มีขนาดแตกต่างกันได้ โดยสามารถโฮสต์หลายฐานข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์เครื่องเดียวและใช้ดัชนีเพื่อจัดเรียงข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ อย่างไรก็ตาม มีคุณสมบัติบางอย่างที่ MySQL มี แต่ SQL Server ไม่มี รวมทั้งยังมีบางสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ SQL Server เพื่อกรองในตารางต่างๆ ได้โดยไม่ต้องทำการค้นหาทีละรายการ คุณยังสามารถหยุดการสืบค้นได้โดยไม่ต้องหยุดกระบวนการสำรองข้อมูล
แต่เมื่อใช้ MySQL คุณจะต้องเรียกใช้คำสั่งต่างๆ มากมาย เนื่องจากคุณสามารถกรองในระดับฐานข้อมูลได้ทีละรายการเท่านั้น นอกจากนี้ เมื่อใช้ MySQL คุณต้องหยุดกระบวนการทั้งหมดเพื่อยกเลิกการดำเนินการสืบค้น
ความสามารถในการปรับขนาด
เมื่อคุณเพิ่มจำนวนแถวใน SQL Server เวลาตอบสนองจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก นั่นคือเหตุผลที่นักพัฒนาส่วนใหญ่เห็นว่า SQL Server เป็นเทคโนโลยีที่ปรับขนาดได้สูง สำหรับเวอร์ชันที่ต้องชำระเงินนั้น SQL Server มีคุณสมบัติมากมายที่จะช่วยให้ปรับขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณสมบัติเหล่านี้รวมถึงการบีบอัด การแบ่งพาร์ติชันขั้นสูง และเทคโนโลยีในหน่วยความจำ
นอกจากนี้ เมื่อจำนวนแถวข้อมูลเพิ่มขึ้นใน MySQL คุณจะพบว่าเวลาที่ใช้ในการทำสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ประสิทธิภาพ
MySQL และ SQL Server ต่างก็เป็นระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์มีประสิทธิภาพสูง คุณควรทราบว่าฐานข้อมูลทั้งสองมีประสิทธิภาพ ปรับขนาดได้ และเชื่อถือได้ทั้งคู่
โดย SQL Server นำเสนอเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการสืบค้นและดัชนี ColumnStore เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เมื่อคุณเพิ่มเวิร์กโหลดฐานข้อมูล โดยทั่วไปแล้ว SQL Server จะทำงานได้ดีกว่า MySQL เล็กน้อย
MySQL ใช้การรวมการเชื่อมต่อและการแคชการสืบค้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ภาษาและไวยากรณ์ในการสืบค้น
ทั้ง SQL Server และ MySQL ใช้ SQL เพื่อในการสืบค้นฐานข้อมูล คุณสามารถใช้คำสั่ง SQL และคำแถลง SQL เพื่อโต้ตอบกับพวกเขาได้ ซึ่งเป็นภาษามาตรฐานสำหรับจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม MySQL และ SQL Server แตกต่างกันเล็กน้อยในด้านไวยากรณ์ รวมถึงคำสั่งสร้าง อ่าน อัปเดต และลบ (CRUD)
SQL Server ใช้ INSERT เพื่อเพิ่มข้อมูลใหม่ลงในตาราง SQL Server จะใช้ SELECT FROM และ DELETE FROM ในการลบข้อมูล SQL Server ใช้เครื่องหมาย Double Quote เพื่อปิดตาราง
MySQL ใช้ INSERT INTO เพื่อเพิ่มข้อมูลใหม่ลงในตาราง MySQL จะใช้ SELECT และ DELETE ในการลบข้อมูล MySQL ใช้เครื่องหมาย Backticks เพื่อปิดตาราง
ตัวเชื่อมต่อและการผสานรวม
ตัวเชื่อมต่อและการผสานรวมที่ SQL Server ทำให้สามารถทำงานกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Microsoft ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น มี Microsoft ADO.NET, ODBC Driver และ JDBC Driver นอกจากนี้ คุณยังสามารถเชื่อมต่อกับ Azure Data Studio และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Microsoft ได้อีกด้วย
MySQL เริ่มต้นด้วย MySQL Workbench ซึ่งคุณสามารถใช้ออกแบบและสร้างฐานข้อมูลได้ นอกจากนี้ ในฐานะเครื่องมือโอเพนซอร์ส มันยังมาพร้อมกับ API และตัวเชื่อมต่อเพิ่มเติมอีกมากมายที่คุณสามารถใช้ได้
การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และเอกสารประกอบ
ทั้ง SQL Server และ MySQL เป็นเทคโนโลยีที่สมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีเอกสารออนไลน์จำนวนมากที่คุณสามารถค้นหาและอ่านได้
SQL Server เป็นซอฟต์แวร์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Microsoft ซึ่งหมายความว่าคุณต้องจ่ายเงินเพื่อใช้งานในกรณีส่วนใหญ่
MySQL เป็นโอเพนซอร์สและอยู่ภายใต้ใบอนุญาตสาธารณะทั่วไป เวอร์ชัน 2 แม้ว่าคุณสามารถชำระเงินเพื่อการรองรับคุณสมบัติต่างๆ เพิ่มเติมได้ แต่เวอร์ชัน MySQL ส่วนใหญ่นั้นฟรี
คุณสมบัติด้านความปลอดภัย
ทั้ง SQL Server และ MySQL มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยมากมายที่ป้องกันการละเมิดข้อมูล การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต และภัยคุกคามความปลอดภัยที่สำคัญที่คล้ายคลึงกัน
คุณจะไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ในช่วงรันไทม์ได้ด้วย SQL Server นอกจากนี้ SQL Server ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยจำกัดการเข้าถึงของผู้ใช้ที่ไม่ได้รับอนุญาต เช่น การควบคุมการเข้าถึงตามบทบาท รวมทั้ง SQL Server ยังมีการรักษาความปลอดภัยระดับแถวเพื่อป้องกันข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและการปิดบังข้อมูลแบบไดนามิก
ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นไบนารี แต่นักพัฒนาสามารถใช้ MySQL เพื่อจัดการฐานข้อมูลในขณะรันไทม์ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงถือได้ว่า MySQL มีความปลอดภัยน้อยกว่า SQL Server
สรุปความแตกต่างระหว่าง SQL กับ MySQL
SQL |
MySQL |
|
ความหมาย |
SQL ย่อมาจากภาษาการสืบค้นที่มีโครงสร้างและเป็นภาษาเขียนโปรแกรม |
ส่วน “My” ใน MySQL นั้นเป็นชื่อลูกสาวของผู้ร่วมสร้างซึ่งชื่อว่า My MySQL เป็นระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ |
ใช้สำหรับ |
คุณใช้ SQL เพื่อโต้ตอบ เพิ่ม จัดการ และเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูล |
ในฐานะระบบจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ คุณสามารถใช้ MySQL เพื่อสร้างตารางสำหรับจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ |
ความถี่ในการอัปเดต |
SQL ไม่ค่อยมีการอัปเดตมากนัก |
MySQL มีการอัปเดตเป็นประจำ |
การใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น |
คุณสามารถใช้ SQL กับฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์อื่นๆ ได้ |
MySQL เป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีพื้นฐานที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล คุณสามารถใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์อื่นๆ แทนได้ |
สรุปความแตกต่างระหว่าง MySQL กับ SQL Server
MySQL |
SQL Server |
|
คืออะไร |
ระบบจัดการฐานข้อมูลโอเพนซอร์สแบบเชิงสัมพันธ์โดย Oracle |
ระบบจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Microsoft |
รองรับแพลตฟอร์ม |
MySQL รองรับแพลตฟอร์มมากกว่า SQL Server |
Microsoft SQL Server รองรับแพลตฟอร์มน้อยกว่า MySQL |
รองรับภาษาเขียนโปรแกรม |
MySQL รองรับภาษาเขียนโปรแกรมมากกว่า SQL Server เช่น Perl และ Haskel |
SQL Server รองรับภาษาเขียนโปรแกรมน้อยกว่า MySQL |
คุณสมบัติ |
MySQL มีตัวเชื่อมต่อและการผสานรวมของบุคคลที่สามที่หลากหลายมากกว่า |
SQL Server ช่วยให้คุณสามารถกรองฐานข้อมูลหลายๆ ฐานข้อมูลพร้อมกันได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถหยุดการสืบค้นได้โดยไม่ต้องหยุดกระบวนการทั้งหมด |
ความสามารถในการปรับขนาด |
MySQL มีคุณสมบัติที่ทำให้สามารถปรับขนาดได้ แต่ไม่เท่ากับ SQL Server |
SQL Server ใช้การบีบอัด การแบ่งพาร์ติชันขั้นสูง และเทคโนโลยีในหน่วยความจำเพื่อจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ปรับขนาดได้สูง |
ประสิทธิภาพ |
MySQL ใช้การรวมการเชื่อมต่อและการแคชการสืบค้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูง |
SQL Server ตอบสนองได้ดีกว่า MySQL เมื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการปรับขนาด |
ภาษาและไวยากรณ์ในการสืบค้น |
MySQL ใช้ SQL เป็นภาษาในการสืบค้นและใช้เครื่องหมาย Backtick ในไวยากรณ์ |
SQL Server ใช้ SQL เป็นภาษาในการสืบค้นและใช้เครื่องหมาย Double Quote ในไวยากรณ์ |
ตัวเชื่อมต่อและการผสานรวม |
MySQL มีการผสานรวมมากกว่า SQL Server |
SQL Server มีการผสานรวมผลิตภัณฑ์ของ Microsoft มากขึ้น |
การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และเอกสารประกอบ |
MySQL คือโอเพนซอร์ส |
SQL Server เป็นซอฟต์แวร์ที่เป็นกรรมสิทธิ์และมีค่าใช้จ่าย |
คุณสมบัติด้านความปลอดภัย |
คุณสามารถแก้ไขฐานข้อมูลในช่วงรันไทม์ได้ด้วย MySQL |
คุณไม่สามารถแก้ไขหรือเข้าถึงไฟล์ในช่วงรันไทม์ได้ด้วย SQL Server |
AWS รองรับข้อกำหนดด้านความต้องการของ SQL และ MySQL ได้อย่างไรบ้าง
Amazon Web Services (AWS) มีข้อเสนอมากมายเพื่อรองรับข้ออกำหนดด้านความต้องการของ SQL และ MySQL
Amazon Relational Database Service (Amazon RDS) คือชุดของบริการที่มีการจัดการเต็มรูปแบบซึ่งทำให้ง่ายต่อการตั้งค่า ใช้งาน และปรับขนาดฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ในระบบคลาวด์ Amazon RDS รองรับ 7 เครื่องมือยอดนิยม โดย 2 เครื่องมือในจำนวนนั้น ได้แก่ SQL Server และ MySQL
Amazon Relational Database Service (Amazon RDS) รองรับในรุ่น Enterprise, Standard, Web และ Express สำหรับ SQL Server เวอร์ชัน 2014, 2016, 2017 และ 2019
Amazon Relational Database Service (Amazon RDS) รองรับ MySQL รุ่น Community เวอร์ชัน 5.7 และ 8.0
คุณยังสามารถเลือกโซลูชัน Amazon Redshift ที่เน้นระบบคลาวด์แทน SQL Server หรือ MySQL ได้ โดยจะใช้ SQL เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่มีโครงสร้างและกึ่งโครงสร้างในคลังข้อมูล ฐานข้อมูลการดำเนินงาน และ Data Lake Amazon Redshift จะใช้ฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาเพื่อ AWS และแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อมอบประสิทธิภาพด้านราคาที่ดีที่สุดในทุกขนาด
คุณจะได้รับประโยชน์จากการใช้งาน Amazon Redshift ในรูปแบบต่างๆ ต่อไปนี้
- ทำลาย Data Silo และรับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดของคุณ
- รับประสิทธิภาพสูงสุดห้าเท่าเมื่อเทียบกับคลังข้อมูลบนระบบคลาวด์อื่นๆ
- รับข้อมูลเชิงลึกในไม่กี่วินาทีโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดการโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล
เริ่มต้นใช้งาน MySQL และ SQL Server บน AWS โดยสร้างบัญชีวันนี้